วันอังคารที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2554

พลังวิเศษแห่งน้ำ

เล่าขานกันมาว่า น้ำวิเศษที่ทีคุณสมบัติบำบัดโรคมีอยู่ 3 แห่ง คือ น้ำตกชิมานโต ประเทศญี่ปุ่น, สายน้ำเมือง Roche ของฝรั่งเศส และสายน้ำ ZamZam ในแมกกะนครศักดิ์สิทธิ์ของอิสลาม ไม่ว่าจริงหรือเท็จประการใดก็ตาม แต่เสียงกล่าวขานของน้ำศักดิ์สิทธิ์นี้ ได้กระตุ้นความสนใจให้นักฟิสิกส์นำเครื่องไม้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ ไปตรวจสอบสภาพน้ำอย่างละเอียดถึงแหล่งต้นน้ำ คำตอบที่พวกเขาได้ แม้จะไม่ยืนยันถึงความศักดิ์สิทธิ์ อย่างน้อยพวกเขาก็พบว่าโมเลกุลของน้ำจากแหล่งดังกล่าวแตกต่างจากน้ำทั่วไปที่เราดื่มกัน

ดร.สเมอร์นอฟบอกว่า เมื่อตรวจสอบสภาพโดยรอบของแหล่งน้ำวิเศษทั้งในญี่ปุ่น ฝรั่งเศส และแมกกะ พบว่า มีสิ่งที่เหมือนกันคือ บริเวณนั้นมีพลังงานคลื่นความถี่ต่ำอย่างมาก ซึ่งสัมพันธ์กับงานวิจัยของนักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบลชื่อ กิลแมน และ รอดเบลล์ ที่ได้รับรางวัลเมื่อปี พ.ศ. 2537 จากการทดลองและพิสูจน์ว่า เซลล์ในร่างกายมนุษย์สามารถติดต่อสื่อสารซึ่งกันและกันได้ภายใต้คลื่นความถึ่่ต่ำ

น้ำจากพลังคลื่นความถี่ต่ำภายใต้เงื่อนไขคือ คลื่นความถี่ต่ำนั้นต้องอยู่ในระดับเดียวกับสนามแม่เหล็กโลก (วัดที่เทือกเขา Caucasian ในทวีปยุโรปและเทือกเขาทิเบตในหิมาลัย) และคงที่ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ที่เพียงพอสำหรับก่อให้เกิดการเปลี่ยนโครงสร้างโมเลกุลน้ำ   ด้วยคุณสมบัติที่แตกต่างเช่นนี้ โดยเฉพาะโมเลกุลที่เป็นอิสระทำให้การดูดซึมเ้ข้าสู่เซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย จึงทำได้รวดเร็วกว่าน้ำทั่วไปพร้อมทั้งให้พลังสูงกว่าน้ำทั่วไปในการชะล้างสิ่งสกปรกต่าง ๆ ออกจากเซลล์ 

นักวิทยาศาสตร์ของไทยเองก็ได้ดำเนินการทดลองเบื้องต้นเกี่ยวกับคุณสมบัติของน้ำ ที่มีโมเลกุลที่เป็นอิสระเหมือนกับน้ำจากแหล่งน้ำวิเศษข้างต้น โดย 
น.พ.พีรยศ ตรงสวัสดิ์ อดีตผู้อำนวยการกองผู้ป่วยโรคเอดส์ กรุงเทพมหานคร ได้นำน้ำที่มีโมเลกุลอิสระรดเมล็ดถั่วเหลืองและต้นหอมพบว่า ต้นพืชเจริญเติบโตดีกว่ากลุ่มที่ได้น้ำทั่วไป นอกจากนี้ได้ทดสอบใช้เติมในตู้ปลา ปรากฏว่า ปลาทองที่แสดงอาการป่วยสามารถฟื้นสู่สภาพผิดปกติได้เร็วขึ้น  อีกทั้งช่วยในการล้างสารพิษในร่างกาย โดยอนุมูลอิสระภายในเซลล์จะเป็นพันธะกับโครงสร้างของน้ำในแนวยาว ทำให้่เกิดความเป็นกลางและช่วยปรับค่า pH ถูกทำให้สมดุล ร่างกายเราจะมีความสามารถในการต้านทานและรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้สูงสุด ในทางกลับกัน หากร่างกายมีความเป็นกรดสูงเกินไป จะทำให้เกิดการติดเชื้อและเจ็บป่วยได้ง่าย หรือหากสภาพร่างกายมีความเป็นด่างสูงเกินไป จะทำให้เกิดโรคไขข้อเสื่อมได้ง่าย และหลอดเลือดหัวใจแข็งตัว  รศ.ดร.พิชัย กล่าวว่า เราอยู่ประเทศไทยก็สามารถสัมผัสน้ำพลังวิเศษได้เช่นกัน ไม่จำเป็นต้องรอนแรมไปไกลถึงอีกซีกโลกหนึ่ง โดยอาศัยความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์ในการเปลี่ยนโครงสร้างโมเลกุลน้ำปกติให้เ็ป็นน้ำพลังวิเศษ

รศ.ดร.พิชัย โตวิวิชญ์ นักเคมีวิทยาศาสตร์ อดีตอาจารย์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายว่า โมเลกุลน้ำธรรมดาจะรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อน และเชื่อมโยงด้วยพันธะไฮโดรเจนเป็นลูกโซ่ แต่ละโมเลกุลจะคอยดึงซึ่งกันและกันเอาไว้อย่างเหนียวแน่น ดั่งคำพังเพยที่ว่า "สายน้ำตัดไม่ขาด" แต่พันธะไฮโดรเจนในน้ำปกติจะเป็นตัวถ่วงที่ทำให้น้ำขาดพลังในการทำชะล้าง แต่ยังสามารถหล่อเลี้ยงสิ่งมีชีวิตในธรรมชาติได้ตามอัตภาพ 
ดร.พีรยศกล่าวว่าน้ำที่ถูกปรับสถานภาพด้วยคลื่นความถี่ต่ำจะส่งเสริมให้เซลล์มีน้ำอย่างเพียงพอ ส่งเสริมการลำเลียงสารอาหารและขบวนการแอคทีเวท ทำให้เกิดการสร้างรูปแบบของโดเมนส์โมเลกุลของน้ำในแนวยาว ซึ่งคล้ายกับโครงสร้างโมเลกุลของน้ำที่พบในเซลล์ของเรา ดังนั้น ร่างกายจึงไม่ต้องใช้พลังงานในการปรับโครงสร้างของน้ำเพื่อที่จะทำกระบวนการเช่นนี้ ทำให้น้ำวิเศษถูกดูดซึมเข้าไปในเซลล์ต่าง ๆ ได้ง่าย  เมื่อโมเลกุลของน้ำวิเศษเข้าสู่เซลล์ได้ง่า่ยจึงเพิ่มออกซิเจนให้กับเซลล์ ทำให้เกิดการผลิตเซลล์ที่แข็งแรงและยืดหยุ่นได้ดี ขจัดสารอนุมูลอิสระในเซลล์ ส่งผลให้ผิวหนังเต่งตึง อ่อนกว่าวัย แข็งแรงขึ้น เส้นผมเป็นเงางามและนุ่มขึ้น รวมทั้งชลอการเข้าสู่วัยชรา รวมทั้งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการสื่อสารระหว่างเซลล์ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฏีของนักวิทยาศาสตร์โนเบล

ปัจจุบันเทคนิคในการปรับโครงสร้างโมเลกุลมีอยู่ 2 วิธี ได้แก่ การใช้พลังแม่เหล็กแรงสูง และพลังคลื่นความถี่ต่ำ ขณะที่บางคนเชื่อว่า พลังจิตสามารถเปลี่่ยนโมเลกุลของน้ำได้ด้วยเช่นกัน อย่างที่เรียกว่า "น้ำมนต์"  โดยน้ำวิเศษนี้ เป็นเสมือนสื่อกลางในการติดต่อสื่อสารระหว่างเซลล์ ด้วยการส่งสารการเคลื่อนไหวของโมเลกุลที่มีการบันทึกไว้ก่อนแล้วไปยังระบบทางชีวภาพ สารเหล่านี้จะฝังอยู่ในน้ำวิเศษในช่วงกระบวนการแอคทีเวท เนื่องจากมีการเพิ่มประสิทธิภาพในการติดต่อสื่อสารระหว่างเซลล์ด้วยกัน ร่างกายจึงมีภูมิคุ้มกันมากขึ้น กระปรี้กระเปร่าขึ้นและมีพลังงานมากขึ้น  การใช้พลังแม่เหล็กแรงสูงต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขดังนี้ ความแรงของแม่เหล็กจะต้องสูงมากกว่า2,000เก๊าส์(Gauze) ขณะที่แม่เหล็กทั่วไปจะมีแรงดึงไ่ม่ถึงขนาดนี้ จึงไม่มีผลที่จะทำให้พันธะไฮโดรเจนปลี่ยนแปลง การเรียงตัวของแม่เหล็กจะต้องอยู่ในลักษณะเป็น "ขั้วเดี่ยว" (Unipole) ส่วนแม่เหล็กทั่วไปจะมี 2 ขั้ว คือ ขั้วเหนือและขั้วใต้ การไหลของน้ำผ่านสนามแม่เหล็ก น้ำนั้นจะต้องไหลผ่านลำท่อของสนามแม่เหล็กขั้วเดี่ยวแบบเต็มลำท่อ ถ้าน้ำไหลลงโดยไม่เต็มลำท่อ เ่ช่น ไหลย้อยลงตามผนังของท่อน้ำ จะไม่มีผลในการทำให้พันธะไฮโดรเจนเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด

อายุขัยของน้ำพลังแม่เหล็กที่มีพลังสูงขึ้นโดยวิธีนี้ จะอยู่ได้ไม่เกิน 72 ชั่วโมง หลังจากนั้นจะกลับคืนสู่สภาพเดิมเป็นน้ำปกติธรรมดา ไม่มีพลังวิเศษแต่อย่างใด นอกจากจะนำกลับมาผ่านกระบวนการใหม่ภายใต้เงื่อนไขและปัจจัยต่าง ๆ ดังข้างต้นอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ นอกจากนี้ หากน้ำพลังแม่เหล็กสัมผัสคลื่นความถี่สูง เช่น เตาไมโครเวฟ โทรศัพท์มือถือ หน้าจอโทรทัศน์และคอมพิวเตอร์ เป็นต้น พลังของน้ำนั้นจะเสื่อมสลายเช่นกันโดยไม่ต้องรอให้ถึง 72 ชั่วโมง

4 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ12 สิงหาคม 2553 เวลา 04:33

    แบบนี้แสดงว่าน้ำแม่เหล็กที่ใส่ขวดขายกัน ก็ไม่มีคุณสมบัติตามที่อ้างกัน
    เพราะไม่รู้ว่าเก็บไว้นานแค่ไหน กว่าที่เราจะซื้อมาบริโภคกัน ผู้บริโภคโดน
    อีกแล้ว

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ14 สิงหาคม 2554 เวลา 01:28

    ก็ดีแต่ข้าว่าเจ้าคงหาวิธีกานทำให้โต้ยเน้อ

    ตอบลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ14 สิงหาคม 2554 เวลา 01:31

    น้ำแม่เหล็กที่ใส่ขวดขายกัน ก็ไม่มีคุณสมบัติตามที่อ้างกัน
    เพราะไม่รู้ว่าเก็บไว้นานแค่ไหน กว่าที่เราจะซื้อมาบริโภคกัน
    งั้นก้อม่ายต้องกีนนน้ำแร้วนะจ๊ะเด็กดี
    จาก ..........^^^^^^^...............

    ตอบลบ
  4. ไม่ระบุชื่อ29 สิงหาคม 2554 เวลา 08:58

    เราบอกถึงน้ำแม่เหล็กที่ทำใส่ขวดขายกัน
    ไม่ได้บอกให้ไม่ต้องกินน้ำ อ่านไม่รู้ความ

    ตอบลบ